ถ้าเรามองย้อนไปในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญที่สุดที่มีผลกระทบต่อคนหนุ่มสาวอย่างชัดเจนก็คือ การเพิ่มขึ้นของคอมพิวเตอร์ อินเทอร์เน็ต และเทคโนโลยีดิจิทัลอื่นๆ นี่เป็นเหตุผลว่าทำไมเราถึงเรียกคนในช่วงนี้ว่า Net Generation หรือ Net Gen

ในปี 1983 ครอบครัวที่มีคอมพิวเตอร์มีเพียง 7% เท่านั้น แต่ภายในปี 2004 จำนวนก็พุ่งสูงขึ้นถึง 44% และ 60% ในจำนวนนี้เป็นครอบครัวที่มีเด็กอยู่ด้วย ในปี 1996 มีครอบครัวในสหรัฐฯเพียงแค่ 15% สามารถเข้าถึงอินเตอร์เน็ตและ WWW ได้ แต่ในช่วงเวลาเดียวกันนี้ มีรายงานว่า 1 ใน 10 ของผู้ใช้อินเทอร์เน็ตทั่วโลกเป็นผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 16 ปี ในปี 1994 มีโรงเรียนที่สามารถให้บริการการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตคิดเป็น 53%
หันกลับมามองที่ปัจจุบัน โรงเรียนในอเมริกาสามารถให้บริการอินเทอร์เน็ตได้ 100% แล้ว และมีการประเมินออกมาว่านักเรียนทุกๆ 4 คนในอเมริกาจะมีคอมพิวเตอร์ 1 เครื่อง มีวัยรุ่นอายุระหว่าง 15-17 ปีที่มีมือถืออยู่ 75% และมีวัยรุ่นอายุระหว่าง 12-17 ที่ใช้อินเตอร์เนตอยู่ประมาณ 73% การเชื่อมต่อบรอดแบรนด์ กำลังนำอินเตอร์เน็ตมาสู่ชาวอเมริกันหลายล้านคนทุกวัน มีการจัดทำโครงการรณรงค์ “แลปท๊อป 1 เครื่องต่อเด็ก 1 คน” ที่จัดโดย Nicholas Negroponte ศาสตราจารย์คณะ Media Technology มหาวิทยาลัย Massachusetts Institute of Technology (MIT) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากบริษัทใหญ่ๆ ภาครัฐ มูลนิธิและสถาบันอื่นๆ มากมาย
ประมาณ 10 ปีที่แล้ว คนส่วนใหญ่ยังใช้อินเทอร์เน็ตแบบรุ่นแรกๆกันอยู่ ซึ่งมีความเร็วต่ำ เชื่อมต่อแบบ Dial-up และมักจะใช้ภาษา HTML ซึ่งมีลักษณะเป็น Static โดยอินเทอร์เน็ตเป็นเรื่องของการดูเนื้อหา เราสามารถเข้าไปชมเว็บไซต์และดูข้อมูลต่างๆ แต่จะไม่สามารถปรับเปลี่ยนข้อมูลหรือโต้ตอบได้
เว็บทุกวันนี้ใช้ภาษา XML มีลักษณะเป็น Dynamic และเป็นมากกว่าการนำเสนอแต่เนื้อหาอย่างเดียว ซึ่งสามารถกำหนดรูปแบบได้ (Programmability) ที่สามารถเรียกอีกอย่างว่า “Programmable web” และทุกครั้งที่เราเล่นเว็บ เราได้เปลี่ยนแปลงเว็บในลักษณะของการเขียนโปรแกรมจากทั่วโลก เช่น Facebook เป็นแอพพลิเคชั่นหนึ่งในหลายพันแอพพลิเคชั่นที่ใช้ XML เป็นพื้นฐานที่ทำให้ผู้คนสามารถทำงานร่วมกันได้ ส่วนเว็บแบบเก่าเป็นสิ่งที่เราเข้าไปเพื่อดูแต่เนี้อหา แต่เว็บแบบใหม่นี้เป็นสื่อกลางที่ให้แต่ละคนสามารถสร้างเนี้อหาของตนขึ้นมาได้ ติดต่อกับผู้อื่นได้ และสร้างชุมชนเสมือนขึ้นมาได้ เว็บแบบใหม่นี้ได้กลายมาเป็นเครื่องมือสำหรับจัดระเบียบตนเองนั่นเอง
ในขณะที่ Net Gen ซึมซับเทคโนโลยีอย่างรวดเร็วเนื่องจากเติบโตมาพร้อมกัน แต่พวกเราที่เป็นผู้ใหญ่กลับต้องปรับตัวเข้าหาเทคโนโลยี ซึ่งเป็นสิ่งที่ใหม่และยากในการเรียนรู้ ขณะที่เด็กๆมองว่าเทคโนโลยีเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวที่พวกเขาซึม ซับไปพร้อมๆกับสิ่งอื่นๆ สำหรับเด็กๆแล้ว การใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ เป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนๆกับการหายใจ
“ไม้แก่ดัดยาก” ฉะนั้นการเรียนรู้วิธีการติดต่อสื่อสารแบบใหม่ การเข้าถึงข้อมูล รวมถึงการให้ความบันเทิงแก่ตนเองจึงเป็นงานที่ยากสำหรับคนยุค X Generation และเราจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนวิธีคิดให้เข้ากับเทคโนโลยีใหม่ๆเพื่อความอยู่รอดมากขึ้นทุกวัน

ทุกวันนี้ Gen X ส่วนมากได้รับความสะดวกสบายด้วยเทคโนโลยี แต่ Gen X อาจจะจำไม่ได้ว่าครั้งแรกที่ต้องปรับตัวให้เข้ากับเทคโนโลยีนั้นเป็นเช่นไร เมื่อเครื่อง PC เปิดตัวเป็นครั้งแรก ก็มีข่าวลือหนาหูว่าเจ้าเครื่องนี้ใช้ยาก มีคำอธิบายแปลกๆ ออกมามากมายที่สุดท้ายบางเรื่องก็กลายเป็นเพียงเรื่องหลอกลวง เจ้าหน้าที่คนหนึ่งรายงานว่า บางคนคิดว่าเม้าส์เป็นที่เหยียบเท้าและไม่รู้ว่าจะใช้งานมันได้อย่างไร ในบางแห่งเลขาคนหนึ่งถูกขอร้องให้ก๊อปปี้ (คัดลอก/ทำสำเนา) แผ่นดิสก์ แต่เธอกลับนำสำเนากระดาษกลับมาให้ อีกคนหนึ่งก็กดคีย์บอร์ดแรงมากจนมันพัง เมื่อหญิงคนหนึ่งถูกเจ้าหน้าที่ถามว่า เธอมีวินโดวส์หรือไม่ แต่เธอกลับตอบอย่างชัดเจนว่า "ไม่ค่ะเรามีแอร์" มีเรื่องเล่าว่า มีคนๆหนึ่งพยายามลบไฟล์บนแผ่นดิสก์โดยใช้ “ลิกควิด” และอีกหลายเรื่องราวที่คล้ายๆกับข้างต้น เพื่อนผมคนหนึ่งพยายามใช้เมาส์ชี้ไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ราวกับว่าเป็นรีโมทโทรทัศน์ เราเรียนรู้อะไรจากการกระทำเหล่านี้ได้บ้าง ผู้ใหญ่กลายเป็นคนโง่อย่างนั้นหรือ
ขณะที่การกระทำเหล่านี้เป็นเรื่องที่น่าขำ แต่ก็เป็นเรื่องที่สามารถเข้าใจได้ คนในยุค Boomer คุ้นเคยกับการใช้รีโมทโทรทัศน์ ที่เหยียบเท้า เครื่องถ่ายเอกสาร หน้าต่าง ลิควิด และประตู สิ่งประดิษฐ์แต่ละอย่างได้ทำให้เกิดการสั่งสมของความหมายและพฤติกรรมที่เกี่ยวข้องกับมันมานานนับหลายทศวรรษ Net Gen ยังเปรียบเสมือนผืนผ้าที่ยังขาวสะอาดอยู่ การซึมซับสื่อประเภทดิจิทัลจึงเป็นเรื่องที่ง่ายดาย

Net Gen ที่เติบโตขึ้นจะมีมุมมองต่อคอมพิวเตอร์แบบเดียวกับที่คนยุค boomer มีต่อโทรทัศน์ Boomer จะไม่ประหลาดใจกับเทคโนโลยีหรือสงสัยว่าโทรทัศน์ส่งภาพเคลื่อนไหวและเสียงผ่านอากาศมาได้อย่างไร พวกเขาเพียงแต่จ้องดูที่หน้าจอเท่านั้น โทรทัศน์คือความจริงของชีวิต เช่นเดียวกับ Net Gen และคอมพิวเตอร์ และเมื่อเทคโนโลยีพัฒนาก้าวหน้าในแต่ละเดือน เด็กๆเพียงแค่หายใจเข้าไปราวกับว่าพัฒนาการนั้นอยู่ในอากาศนั่นเอง
เมื่อเปรียบเทียบกับยุค Baby Boomer จะพบว่าเวลาที่ Net Gen ใช้ออนไลน์ มีมากพอๆ กับเวลาที่พ่อแม่พวกเขาเคยใช้ดูโทรทัศน์ในยุค baby boomer เวลาที่ใช้ดูโทรทัศน์คิดเป็นค่าเฉลี่ยเท่ากับ 22.4 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ คนในยุคนั้นเป็นผู้ชมแต่เพียงฝ่ายเดียว ซึ่งหมายถึงการชมแต่สิ่งที่ปรากฎอยู่บนโทรทัศน์ บางครั้งก็ดูแม้กระทั่งโฆษณาด้วย
Net Gen ดูโทรทัศน์น้อยกว่าพ่อแม่ของพวกเขาแถมยังดูโทรทัศน์ต่างจากแบบที่พ่อแม่ดู Net Gen มักจะชอบเปิดคอมและเปิดหน้าต่างขึ้นมาหลายๆ อันพร้อมกัน คุยโทรศัพท์ ฟังเพลง ทำการบ้าน อ่านแมกกาซีน ส่วนโทรทัศน์ได้กลายเป็นสิ่งที่พวกเขาใช้ฟังเพลงไปแล้ว

ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น